เมื่อวันที่ 26 ก.ค.63 ทีมข่าว ได้ย้อนคำสัมภาษณ์วันที่ 30 มิ.ย.63 ของนางแตงโม (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก ระบุว่า วันนั้นเข้าไปบ้านน้องชมพู่ช่วง 08.00 – 09.00 น. ซึ่งรู้ข่าวจากน้องสะดิ้ง เพราะน้องกำลังเดินตามหาบางอย่าง เดินผ่านไปมาหน้าบ้าน จึงถามน้องสะดิ้งว่าหาอะไร จึงรู้ว่าน้องชมพู่หาย ตนก็ตอบว่าตั้งแต่ 08.00 – 09.00 น. ยังไม่เห็นน้องชมพู่ผ่านมาหน้าบ้านเลย”
ทีมข่าวจึงลงพื้นที่บ้านกกกอก ไปพูดคุยกับ นางแตงโม (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก โดยทีมข่าวได้นำคลิปที่นางแตงโมเคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.63 ว่าเจอกับน้องสะดิ้งเวลา 09.00 น. ซึ่งขัดแย้งกับการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดที่บอกว่าเจอน้องสะดิ้งเวลาประมาณ 08.30 น.
เมื่อนางแตงโมได้ดูคลิป ก็มีอาการนิ่งเฉยและอธิบายให้ทีมข่าวฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 เวลาประมาณ 08.00 น. เป็นช่วงที่ตนกลับมาจากจับ GPS สวนยาง ตนก็ได้ยินเสียงเพลงชาติจากโทรทัศน์ หลังจากนั้นตนก็กินข้าว 10-15 นาที และออกไปนอนที่เปลหน้าบ้าน ซึ่งเห็นน้องสะดิ้งเดินหาตามหาน้องชมพู่ในเวลาประมาณ 08.30 น. เพราะตนดูนาฬิกาข้อมือ
อย่างไรก็ตาม ตนเจอน้องสะดิ้งหลายรอบ เจอตั้งแต่ 08.30 – 09.00 น. ซึ่งตนก็จำเวลาได้อย่างชัดเจน เพราะช่วงที่ออกมานอนเปลและคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ตนก็เห็นน้องสะดิ้งเดินผ่านหลายรอบ จึงได้ถามน้องสะดิ้ง แต่ตนก็จำไม่ได้ว่าน้องสะดิ้งเดินแต่ละรอบห่างกันกี่นาที นอกจากนี้ ตนก็มั่นใจกับเวลาของตัวเอง เพราะตนได้ให้ข้อมูลตำรวจไปตามนี้ ซึ่งตนก็ยังยืนยันคำเดิม และไม่มีความกังวล
ทีมข่าวลงพื้นที่บ้านกกกอก ไปพูกดคุยกับ นางละมุด (นามสมมติ) เพื่อนของนางแตงโมที่พูดคุยกับนางแตงโมเมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 โดยนางละมุด เปิดเผยว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันเกิดเหตุ ตนกลับมาจากวัด GPS สวนยาง ตอนเวลาประมาณ 08.10 น. และตนอุ่นกับข้าวประมาณ 10 นาที นางแตงโมก็โทรมาสอบถามว่า เห็นคนอื่นกลับมาจากวัด GPS แล้วหรือไม่ ซึ่งตนก็จำได้ว่าพูดคุยกันประมาณนี้ ซึ่งตนมั่นใจเรื่องเวลา เพราะตนก็ดูจากโทรศัพท์ช่วงที่นางแตงโมโทรมาคุย
นางละมุด กล่าวต่อว่า ตนเพิ่งรู้ว่าน้องชมพู่หายไปในเวลา 11.00 น. แต่ตนก็เชื่อนางแตงโมว่าน้องชมพู่หายไปประมาณ 08.00 น. ไม่ใช่ 09.00 น. เพราะน้องสะดิ้งเดินหาน้องชมพู่ในหมู่บ้านหลายรอบ และคนในหมู่บ้านบางคนก็เห็น และตนก็มั่นใจว่านางแตงโมไม่โกหก และมั่นใจว่านางแตงโมไม่ได้สับสน อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลการคุยโทรศัพท์ของตนไม่มีแล้ว เนื่องจากเวลาผ่านมานานแล้ว
นอกจากนี้ นางแตงโม (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก ให้ข้อมูลว่า เห็นน้องสะดิ้งเดินมาจากในซอยเป็นรอบแรก และน้องสะดิ้งก็เดินกลับไป ต่อมาก็เห็นน้องสะดิ้งเดินมาจากในซอยรอบที่ 2 และเดินกลับไปอีก กระทั่งเดินมาจากซอยรอบที่ 3 และเดินเร็วผิดสังเกต ตนจึงถามว่าเดินหาใคร และน้องสะดิ้งบอกว่าเดินหาน้องชมพู่ หลังจากนั้นน้องสะดิ้งก็เดินไปบ้านป้าแต๋น ไม่นานน้องสะดิ้งก็เดินกลับมาจากบ้านป้าแต๋น ตนจึงกลับเข้าไปในบ้านเอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตเตอรี่ เพราะจะไปช่วยหาน้องชมพู่ ไฟที่หน้าจอโทรศัพท์จึงแสดงว่าเป็นเวลาประมาณ 09.00 น. หลังจากนั้นตนจึงเดินตามน้องสะดิ้งไป และไปเจอรถแบ็กโฮอยู่ที่กองทราย
ทั้งนี้ระยะทางที่ห่างบ้านนางแตงโม กับ บ้านน้องชมพู่ ไม่ได้ห่างกันมากนัก เพราะอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ซึ่งห่างกันประมาณ 150 เมตรเท่านั้น
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายบุญทัน เชื้อตาพระ ชาวบ้านกกกอก ถึงกรณีที่นางเเตงโม ให้ข้อมูลว่าเห็นน้องสะดิ้งเดินตามหาชมพู่ตั้งเเต่ช่วง 08.30-08.40 น. เป็นไปได้หรือไม่ว่าชมพู่อาจหายไปตั้งเเต่ช่วงเวลาดังกล่าว
นายบุญทัน กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เพราะส่วนตัวคิดว่าน้องสะดิ้ง เมื่อทราบว่าน้องชมพู่หายไป อาจจะยังไม่กล้าบอกพ่อเเม่ในตอนนั้น เพราะคงกลัวว่าจะถูกดุที่ดูน้องไม่ดี ซึ่งน้องสะดิ้งคงเดินตามหาน้องชมพู่เองสักระยะ จนสุดความสามารถ เมื่อหาไม่พบจึงตัดสินใจบอกเเม่เเละบอกป้า ดังนั้นตนมองว่าจะยึดเวลาที่สะดิ้งบอกเเม่ เป็นเวลาที่น้องหายนั้นไม่ได้
นายบุญทัน ยังกล่าวอีกว่า ในเรื่องไทม์ไลน์เวลาที่ยังดูวุ่นวายอยู่ในตอนนี้ สาเหตุมาจากชาวบ้านไม่สนใจดูนาฬิกา ซึ่งวิถีชีวิตของชาวบ้าน เมื่อตื่นนอนก็จะกินข้าว เเละออกไปทำงาน เมื่อทำงานเหนื่อยรู้สึกหิวข้าว ก็กลับบ้านมากินข้าว ไม่มีใครสนใจเวลาด้วยซ้ำว่าเเต่ละสิ่งที่ทำเป็นเวลากี่โมง ที่ผ่านมาชาวบ้านจะยึดพื้นฐานของการคาดคะเนเวลา ซึ่งอาจมีความคาดเคลื่อนจากเวลาจริงบ้าง บางครั้งเคลื่อนเป็นชั่วโมงก็มี ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเช้าเวลา 7 โมง เเต่บังเอิญวันนั้นเเดดเเรง ชาวบ้านก็อาจคาดเวลาเป็น 8 โมง เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเเปลกเเต่อย่างใด ที่ชาวบ้านจะบอกเวลาที่เเตกต่างกัน
ส่วนตัวมองว่าข้อมูลของนางเเตงโม มีความน่าเชื่อถือ เพราะมีการดูนาฬิกาจากโทรศัพท์ ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้เหมือนคำพูดคน ส่วนเวลาที่น้องชมพู่หายที่เเท้จริง ไม่มีใครทราบ ส่วนตัวไม่มีความกังวลใด ๆ เพราะเรื่องไทม์ไลน์เวลา ไม่มีความเเน่นอนตั้งเเต่เเรกอยู่เเล้ว เเละเชื่อว่าตำรวจคงหาข้อมูลที่เเท้จริงได้
ขณะที่นายแต เจ้าของร้านขายน้ำส้มในหมู่บ้าน ให้ข้อมูลว่า น้องชมพู่กับพี่สาวมาซื้อน้ำส้มในเวลาประมาณ 08.30 น.
ทีมข่าวไปพูดคุยกับ นางอ้อม (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก บ้านอยู่ปากซอยบ้านน้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า ขณะนั้นเวลาประมาณ 07.30 น. เป็นช่วงเวลาที่สามีออกไปจับ GPS ที่สวนมันสำปะหลัง ขณะเดียวกันตนก็นั่งเหลาไม้หลักยางอยู่ที่แคร่ใต้ถุน ก็สังเกตเห็นน้องสะดิ้งและน้องชมพู่เดินผ่านหน้าบ้าน
ตนก็มองเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้พูดจาอะไร ผ่านประมาณ 30 นาที แต่ตนไม่มั่นใจเรื่องเวลาขากลับ เพราะตอนนั้นไม่ได้ดูเวลา แต่ตนเห็นน้องสะดิ้งเดินหิ้วถุงน้ำแข็งมาพร้อมกับน้องชมพู่ เดินย้อนกลับมาจากร้านของนายแต ซึ่งตนจำการแต่งกายของทั้งคู่ไม่ได้ เพราะไม่ทันสังเกต แต่จำได้แน่นอนว่าเป็นทั้งคู่แน่นอน ในช่วงที่น้องสะดิ้งเดินออกมาตามหาน้องชมพู่นั้น ตนก็ไม่เห็นเพราะไม่ทันสังเกต และไม่อยู่บ้านอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนให้ข้อมูลกับตำรวจแบบนี้ และมั่นใจมากเพราะตอนที่น้องสะดิ้งเดินออกมานั้น ตนนั่งดูเวลาอย่างชัดเจน
เมื่อสรุปข้อมูลจาก นางแตง จึงมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.รถแบ็กโฮของเล่นที่ไม่ได้หายพร้อมน้องชมพู่
2.สั่งพยาน (ชะอม) ให้ปากคำกับตำรวจเรื่องพบรถแบ็กโฮ
3.อ้างพ่อแม่ชมพู่ เดินขึ้นเขาเองได้ตามลำพัง
4.เจอเสื้อส้มในก่อไผ่
5.พบน้องสะดิ้งตามหาน้องชมพู่ช่วงเช้า ไม่ใช่เวลา 09.45 น.
6.ถูกจดหมายข่ ม ขู่ ให้หยุดพูด
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่นางแตงโม ออกมาพูดถึงช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายผิดไปจากเดิมนั้น ตนก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจ เพราะตำรวจก็รู้เกี่ยวกับเรื่องเวลาที่น้องชมพู่หายหมดแล้ว ตำรวจได้เช็การเล่นโทรศัพท์ การดูยูทูบ ซึ่งตนก็ไม่เครียดที่นางแตงโมมาพูดแบบนั้น และตนก็ไม่ได้ไปพูดคุยอะไรกับเขา ซึ่งตนคิดว่าถ้าข้อมูลงของนางแตงโมมีมูลจริง ตำรวจก็คงจะไปสอบสวนเอง ส่วนในทางครอบครัวก็ให้ข้อมูลไปทั้งหมดแล้ว
นายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ กล่าวว่า ตนคิดว่าหากป้าแตงโมบอกว่าชมพู่หายก่อน 9 โมง ตนก็คิดว่าป้าแตงโมต้องเห็นอะไรบ้างถึงมั่นใจเรื่องเวลา แต่หากเป็นแบบนั้น แสดงว่าน้องสะดิ้งต้องโกหกอีก 1 รอบ
ส่วนคิดว่าช่วงเวลาที่น้องชมพู่หาย ครั้งแรกตนเชื่อตามข้อมูลของน้องสะดิ้ง เพราะคิดว่าหลานคงไม่โกหก แต่หลังจากนั้นก็คิดเอง คิดไปตามจินตนาการ ตนคิดว่าอาจจะเป็นได้ทั้งก่อนและหลัง 9 โมงที่น้องชมพู่หายตัวไป ตนรู้นิสัยป้าแตงโม ตนไม่ติดใจอะไร ไม่ได้สนิทกันแค่รู้จัก เท่าที่รู้ตนไม่อยากพูด ให้ดูหน้าเอาว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
ตนไม่ได้กังวลเรื่องป้าแตงโมให้ข้อมูล ซึ่งเขามีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น หากจะมีข้อมูลอีก จะเปลี่ยนเวลาก็แล้วแต่เขา ตนไม่กลัวจะกระทบอะไรกับตน เพราะหากน้องชมพู่จะหายช่วงเวลาไหน ตนไม่ได้เจอชมพู่เลย แทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน มันไม่น่าจะเกี่ยวอยู่แล้ว
ชมคลิปด้านล่าง
ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว