ผู้เชี่ยวช าญเกี่ยวกับสัญญ าณโทรศั พท์มื อถือ พูดแล้ว โทรศั พท์แม่ช มพู่

จากกรณีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่เสียชีวิตบริเวณป่าภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ขณะนี้ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ ต่อมากลายเป็นที่จับตามองอย่างมากเมื่อนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ เปิดใจยอมรับว่าสงสัยลุงพลนั้นเป็นผู้ก่อเหตุกับน้องชมพู่ ซึ่งทางด้าน ลุงพล ทนไม่ไหว ประกาศตัดญาติทันที พร้อมแฉความลับของแม่น้องชมพู่ ว่าไม่เคยขึ้นไปภูเหล็กไฟเลย ไม่ยอมไปดูสถานที่เกิดเหตุเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนชาวบ้านต่างสงสัยและพูดกันต่างๆนาๆ หรือกำลังกลัวอะไรบางอย่าง

ต่อมาเป็นประเด็นอีกเมื่อ นพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่คนแรก เปิดเผยผลชันสูตรศพอย่างละเอียด กับที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯของรัฐสภา ระบุว่า ได้ทำการชันสูตรศพเมื่อเวลาบ่าย 14.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค. 63 ยืนยันสภาพศพภายนอกมีเพียงร่องรอยขีดข่วนที่อาจเกิดจากกิ่งไม้ ซึ่งรอยขูดขีดจะกระจายเป็นกลุ่ม ๆ พบมากที่สุดบริเวณแผ่นหลัง เหนือข้อเท้าด้านซ้าย ซึ่งเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นขณะยังมีชีวิต ส่วนอวัยวะภายใน มีหลายส่วนเริ่มเน่าจนไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ ยืนยันว่าสมองและปอดไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการทำร้ายร่างกาย มีเพียงการเน่า กระโหลกศีรษะไม่พบการแตกร้าว คอไม่หัก ไม่มีรอยฟกช้ำ กระเพาะอาหารไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ มีเพียงของเหลว 10 มิลลิลิตร อวัยวะเพศไม่พบร่องรอยที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิด ซึ่งหากไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย มีความเป็นไปได้กรณีเด็กพลัดหลงป่าจนขาดอาหาร ขาดน้ำจนเสียชีวิต

ขณะที่ หากย้อนกลับไป ผลชันสูตรศพ น้องชมพู่ ของแพทย์สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย และอวัยวะเพศมีบาดแผล แพทย์จึงเก็บตัวอย่างของเหลวในช่องคลอดไปตรวจหาอสุจิ ซึ่งระยะการเสียชีวิตยังไม่นานเกินไป หากมีอสุจิก็สามารถตรวจพบได้ ว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ ส่วนร่องรอยบาดแผลที่พบ แพทย์ที่ตรวจรายงาน ยังไม่ขอให้รายละเอียด แต่ จะเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เนื่องจากชิ้นเนื้อ สามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเกิดจากการถูกทุบตี กดทับ หรือมีการลากร่างเกิดขึ้นหรือไม่

ขณะที่ นางสาวิตรี วงค์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับภาพศพของน้องชมพู่ที่มีรูขนาดใหญ่ ลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งตนมองว่าไม่น่าใช่การกดทับของศพ เพราะน้องชมพู่น้ำหนักแค่ 9.5 กิโลกรัม การพูดถึงกะะเพาะอาหารของน้องชมพู่ที่ไม่มีอาหารนั้น เพราะในวันที่ 11 พ.ค. 63 น้องชมพู่ได้กินอาหารมื้อสุดท้ายในช่วงเวลา 07.00 น. โดยกินไข่เจียวเปล่าเพียงเล็กน้อย และน้ำส้มนิดหน่อย ก่อนหายตัวไป ไม่อยากคาดเดาว่าน้องชมพู่เสียชีวิตเป็นเวลาใดก่อนถูกพบศพ เพราะต้องขึ้นอยู่กับการตรวจของแพทย์ สุดท้าย หากมีใครตั้งข้อสงสัยว่าน้องชมพู่เดินขึ้นไปเสียชีวิตเองหรือไม่ ตนก็อยากถามนักข่าวที่เคยเดินขึ้นไปบนภูเขาว่า เด็กจะสามารถเดินขึ้นไปเองได้หรือไม่

affaliate-2

ด้าน นายไชย์พล วิภา ลุงน้องชมพู่ บอกว่า เท่าที่ส่องไฟดูในวันที่พบศพ หลังจากตั้งสติได้แล้ว ตนเองก็เห็นบริเวณหน้าแข้งชมพู่มีร่อยฟกช้ำเยอะ ที่ปลายเท้ามีรอยฟกช้ำเลือด หลังแขนมีรอยคล้ายหนังกำพร้าหลุด ผิวคล้ำ ๆ ซึ่งตนไม่ได้มองนานขนาดนั้นเพราะกลัวภาพจำติดตา ยืนยันว่าไม่ได้กลิ่นศพ ตนเองก็คิดว่าระยะทางขึ้นเขา ยังมีความเชื่อว่าน้องไม่ได้เดินไปตายเอง มีคำถามเกิดขึ้น เพราะมันสูง ซึ่งหากเรื่องนี้คนตายเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ตนเองยังเชื่อว่าหลงไปแล้วขาดอาหารตายได้ เพราะร่างกายแข็งแรง หากเป็นเด็ก 3 ขวบ มันยากที่จะเชื่อว่าเดินขึ้นไปเอง ถึงแม้ผลชันสูตรร่องรอยตามตัวจะไม่ค่อยมี แต่มันก็ยากที่ชมพู่จะเดินไปตายเอง ส่วนการตัดสินใจว่าตำรวจจะสรุปคดีอย่างไร ให้พ่อแม่ชมพู่เป็นคนตอบ ตนเองตอบแทนไม่ได้ ตอนนี้ระยะเวลานานถึง 2 เดือน หากตำรวจบอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ตนเองก็มองว่าตำรวจต้องทำงานต่อไป ตนเองเชื่อว่าตำรวจทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง หากอะไรไม่ชัวร์ไม่ชัด ก็คงต้องให้พ่อแม่ตัดสินใจ ถึงแม้ตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัย ตนเองก็ไม่ได้อยากให้ปิดคดี

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่พยายามทุกวิถีทางในการปิดคดีนี้ แม่จะยากลำบาก ล่าสุดทีมข่าว จึงนึกถึงมือถือที่อาจจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า ช่วงที่น้องชมพู่หายไป ใครอยู่ที่ไหนกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ-แม่ น้องชมพู่ รวมถึงลุงพล

ด้าน ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ให้ข้อมูลว่า ปกติแล้วการพกโทรศัพท์มือถือและการเคลื่อนที่ไป โทรศัพท์ของคนเราจะมีการสื่อสารข้อมูลด้วยเสาโทรศัพท์ ขณะมีคนโทรเข้า-ออก ก็จะมีการสื่อสารข้อมูลด้วยเสาโทรศัทพ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่งมาที่โทรศัพท์ที่เราใช้งานอยู่ ซึ่งระหว่างการสื่อสารข้อมูล ข้อมูลทุกอย่างจะถูกระบุไว้ทั้งหมด ซึ่งผู้ให้บริการหรือโอเปอเรเตอร์จะเก็บข้อมูลไว้ เพื่อนำมาเก็บค่าใช้บริการกับผู้ใช้บริการ แต่โอเปอเรเตอร์จะบันทึกแค่โทรจากที่ไหน เวลาเท่าไร โทรกี่นาที จะไม่ได้บันทึกเสียงการพูดคุยกับคนในสาย เนื่องจากผิดกฎหมาย

ส่วนประเด็นการพกโทรศัพท์แล้วเดินไปตามที่ต่าง ๆ จะสามารถระบุตำแหน่งบุคคลได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าโทรศัพท์ขณะนั้น มีการทำงานของแอปพลิเคชันไว้หรือไม่ ซึ่งซิมการ์ดจะไม่เกี่ยวข้อง จะเป็นแค่ตัวเครื่องโทรศัพท์ที่เป็นตัวระบุตำแหน่ง นอกจากนี้ หากนำมาใช้ในทางกฎหมาย เรื่องข้อมูลโทรศัพท์ถือว่าเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์ในทางคดีอย่างมาก

affaliate-2

ก่อนหน้านี้ ลุงพลเคยชี้แจงว่า ชี้แจงวันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ตามข้อมูลในมือถือ ซึ่งเครื่องนี้มีทั้งตน ภรรยา และลูกชาย ที่จะจับมือถือไว้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ลูก เพราะลูกจะเอาไว้เล่นเกม อย่างวันที่ 11 พ.ค.63 ตนได้คุยโทรศัพท์แค่เพียงหัวหน้าก่อง จากนั้นตนก็ไม่ได้เอามือถือไปด้วย ก็ไปส่งพระ ส่วนนางนุช ก็คือแม่น้องชมพู่ โทรศัพท์มาคาดว่าลูกชายของตนรับสาย ซึ่งตนไม่รู้โทรมาเรื่องอะไร แต่ตนมาทราบว่าน้องชมพู่หายตัวไป ตอนที่ภรรยาตนลงมาจากบ้านน้องชมพู่แล้ว และก็ไปส่งพระตามที่เคยบอกไว้ หลังจากกลับมาจากส่งพระ ตนก็ไม่ได้ใช้มือถือ แต่ภรรยาเป็นคนหยิบไปใช้

affaliate-2

อย่างไรก็ตามต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าโทรศัพท์ของทางฝั่ง พ่อ-แม่ น้องชมพู่ ที่มีการเปลี่ยนเครื่องใหม่วันเจอศพน้อง เครื่องเก่าอยู่ที่ไหน

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว

affaliate-2

error: Content is protected !!