จากกรณีโลกออนไลน์ประกาศช่วยกันตามหาน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบซึ่งหายตัวไปจากบ้าน พ่อแม่ร้อนใจหนัก และเจ้าหน้าที่ได้ระดมพลกว่า 200 คนเพื่อตามหาเด็กที่หายไป ชื่อเด็กหญิง อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ
กระทั่งต่อมาพบว่าเรื่องเศร้าเมื่อได้พบร่างอันไร้วิญญาณของน้องชมพู่ ต่อมาแม่ของน้องชมพู่เกิดเอะใจไม่ยอมเผาศพลูกสาว และส่งร่างตรวจชันสูตรอีกครั้ง จึงทำให้ล่าสุด แพทย์นิติเวชตำรวจพบ บาดแผลที่อวัยวะเพศและร่องรอยทำร้ายร่างกายบนตัว น้องชมพู่ ซึ่งแพทย์เก็บของเหลวช่องคลอดเพื่อตรวจอสุจิมัดตัวคนร้าย
ต่อมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ตำรวจชุด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจงยอดสุข รอง ผบ.ตร. รวมกว่า 30 นาย และเจ้าหน้าที่กองกับกับการสุนัขตำรวจ นำสุนัขตำรวจ 3 ตัว เพื่อลาดตระเวนพื้นที่ โดยแบ่งการเดินเท้าแยกเป็น 3 ชุด โดยมีชุดหนึ่ง พบ ชิ้นส่วนของชุดลายพรางคล้ายชุดทหาร ถูกเผาวางอยู่บนแผ่นหิน ซึ่งเจ้าหน้าที่เก็บเอาไว้เพื่อใช้เพื่อนำไปตรวจสอบ ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่
จากนั้นเดินต่อไปอีก 200 เมตร ซึ่งใช้เวลาเดินรวมกว่า 2 ชม.จากจุดเริ่มต้นกว่าจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งถือว่าสำคัญ เพราะเป็นจุดพบหลักฐานเป็นของเล่นเด็ก ซึ่งพบว่ารถของเล่นถูกวางอยู่ที่โขดหินโผล่ขึ้นจากดิน
ลักษณะข้างกันเป็นเส้นทางมุ่งหน้าขึ้นจุดพบศพ ห่างไปราว 300 เมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจเป็นทางที่คนร้ายใช้ขึ้นลง เพราะหลักฐานชิ้นนี้ตกอยู่ข้างทาง จากนั้นชุดเจ้าหน้าที่ เดินต่อไปจนถึงจุดพบศพ ซึ่งยังไม่พบหลักฐานอะไร
ล่าสุด พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า ขณะนี้การรวบรวมหลักฐานนั้นยังเดินหน้าไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ตำรวจต้องการมากตอนนี้คือ การหาเสื้อผ้าของน้องชมพู่ให้เจอ เนื่องจากการตรวจดีเอ็นเอกางเกงของน้องที่พบใกล้ที่พบศพ ไม่เจอดีเอ็นเอของคนร้ายติดปนอยู่ และหวังว่าเสื้อของน้องชมพู่ที่หาอยู่ ต้องมีร่องรอยของคนร้ายบ้าง
ไม่อย่างนั้นทำไมถึงหาไม่เจอ เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะนำไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง ส่วนหลักฐานใหม่ที่เป็นรถแบ็กโฮที่น้องชมพู่เล่นก่อนหายตัวไปนั้น ตำรวจได้ส่งไปตรวจหาดีเอ็นเอแล้ว และยังไม่รู้เลยว่าจะเจอหลักฐานที่นำไปสู่การจับตัวคนร้ายได้หรือไม่ ส่วนเสื้อลายพราง ที่มีเจ้าหน้าที่ไปพบบนภูเขา อยู่ไม่ใกล้จากจุดที่พบศพน้อง มีลักษณะค่อนข้างเก่า และขึ้นตะไคร่ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีแน่นอน
ตอนนี้ตำรวจยังไม่สามารถคาดเดา หรือตั้งสมมติฐานชัดเจนได้ว่า คนร้ายคือใคร ส่วนผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจสอบมา ก็ยังไม่มีใครพยายามหนีออกจากหมู่บ้าน หรือพบพิรุธ ซึ่งได้ให้ตำรวจคอยสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคนอยู่ แต่สุดท้ายตัวเองเชื่อว่า ตำรวจจะสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้อย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการหาหลักฐาน ซึ่งตัวเองเชื่อมั่นว่า ทุกอาชญากรรมนั้นไม่มีคนร้ายคนไหนไม่ทิ้งหลักฐานไว้