ความคืบหน้ากรณีน้องชมพู่ หนูน้อยวัย 3 ปี หายตัวออกจากบ้าน อ.ดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 63 จนไปพบศพกลางป่าบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 5 กม. โดยผลชันสูตรจาก รพ.ตำรวจ พบบาดเเผลที่อวัยวะเพศ ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งหาหลักฐานเพื่อตรวจหาDNAแฝง
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.63) ตำรวจสภ.กกตูม อ.ดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับจนท.จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 ได้ลงพื้นที่ขอความร่วมมือเก็บหลักฐาน และDNA ภายในรถกระบะ ทะเบียน บล 3127 สกลนคร ของนายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่และคุ้ยกองขยะที่เผาหน้าบ้านและเดินหาหลักฐานบริเวณป่าไผ่หลังบ้าน แต่ไม่ได้เก็บหลักฐานอะไรไป
ทั้งนี้ จนท.ได้เก็บเสื้อหม้อห้อมภูไท กางเกงยีน รองเท้าบูท กางเกงกีฬาสีขาวที่ใส่ทำงาน กางเกงกีฬาสีดำที่ใส่ทำงาน เสื้อผ้าทั้งหมดยังไม่ได้ซัก รองเท้ายางสีดำ ซึ่งตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้น นายไชย์พล และนางสาวสมพร ได้นั่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและไม่มีท่าทีเครียด สีหน้ายังสดใสและพูดคุยตามปกติ
ภายหลังจากที่จนท.เก็บหลักฐานไปแล้ว ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายไชย์พล (ลุงน้องชมพู่) เปิดเผยว่า วันนี้ตนสังเกตว่าตำรวจได้ตรวจสอบเก็บดีเอ็นเอภายในรถของตน ซึ่งเชื่อว่าอาจจะหาหลักฐานเกี่ยวกับน้องชมพู่ ซึ่งน้องชมพู่ก็เคยขึ้นรถคันนี้ คงต้องมีDNAหลงเหลือบ้าง และตำรวจได้เก็บเสื้อหม้อห้อมภูไท กางเกงยีน ที่ตนใส่ตอนขับรถไปส่งพระที่วัดภูผาแอกในวันที่ 11 พฤษภาคม 63 ไปด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าน้องชมพู่หายไปในเวลาใด แต่คาดว่า ช่วงที่น้องชมพู่หายไปนั้น ตนยังอยู่ในสวนยางพาราที่ไปจับ GPS กับแม่ของน้องชมพู่
นายไชย์พล กล่าวต่อว่า จริงๆแล้ววันนี้ตำรวจได้พยายามขอชุดที่ตนใส่ทำงานในวันที่ 11 พฤษภาคม 63 แต่ตนไม่มั่นใจว่าเป็นเสื้อตัวไหน เพราะตนมีเสื้อแขนสีฟ้าที่ใส่ทำงาน 2 ตัว ตำรวจจึงได้เก็บเสื้อหม้อห้อมไปแทน ซึ่งตนไม่รู้สึกกังวลที่ตำรวจมาเก็บหลักฐานเพิ่มเติม และมองว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก อยากให้ตำรวจทำแบบนี้กับทุกคนที่สงสัย เพราะจะได้มีหลักฐานมัดตัวคนร้าย
ถ้าใครเป็นคนร้ายจะดิ้นไม่หลุดและตนก็ไม่กลัวว่า จะตกเป็นแพะรับบาปด้วย เพราะเชื่อว่าสมัยนี้คงไม่มีการจับแพะกันแล้ว แม้ตำรวจจะออกหมายจับตน ก็ต้องดูที่หลักฐานเจ้าหน้าที่นำมาใช้ออกหมายจับนั้นคืออะไร และเหตุผลที่DNAไปตรงกับDNAที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้น ว่าเป็นDNAมาจากส่วนไหน ซึ่งตอนนี้ตนก็ไม่รู้สึกกังวลอะไร และสำหรับกองขยะที่เผานั้น เป็นเศษขยะและเศษอาหาร ซึ่งตำรวจก็คิดว่าตนจะเผาหลักฐาน ตนก็เต็มใจให้ตรวจทั้งหมด
ส่วนในคืนวันที่ 11 พฤษภาคม 63 นั้นตนอยู่บริเวณหมู่บ้าน และสอบถามคนในซอยว่ามีรถต้องสงสัยเข้าไปในซอยบ้านน้องชมพู่หรือไม่ กระทั่งเช้าวันที่ 12 พฤษภาคม 63 เวลา 06.00-07.00 น. ตนขับรถไปรับหมอธรรมที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมกับ น.ส.สมพร นางนลิน และกลับมาถึงเวลา 12.00 น. รวมถึงเดินตามหาน้องชมพู่ในสวนยางและตีนเขา
กระทั่ง มีคนโทรศัพท์มาบอกว่า เห็นน้องชมพู่ที่ห้างแห่งหนึ่ง จ.สกลนคร ในช่วงบ่ายซึ่งตนก็จำเวลาไม่ได้ ตนได้ไปห้าง ดังกล่าวพร้อมกับพี่สาวน้องชมพู่และคนในหมู่บ้าน เมื่อไม่พบเบาะแสตนก็ขับกลับมาที่หมู่บ้านช่วงบ่าย แต่ก็จำเวลาไม่ได้และยังอยู่ภายในหมู่บ้าน
จนสุดท้าย เวลา 17.00 น. ตนขึ้นป่าหาน้องชมพู่อีกครั้ง โดยไปพร้อมลุงคล้าย ชาวบ้านในหมู่บ้าน ไปด้วยกัน 2 คน เดินตามที่หมอธรรมบอกขึ้นทางอ่างกบ ไปฝั่งหลังภูเหล็กไฟด้วยกันตลอด ไม่มีการแยกออกจากกัน กลับมาถึงหมู่บ้าน 21.00 น. และกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนไม่กังวลว่าชาวบ้านจะมองตนไม่ดี เพราะเชื่อว่าชาวบ้านจะให้กำลังใจเพราะทุกคนก็รู้ดีว่าตนเป็นคนอย่างไร
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ ภรรยาของนายไชย์พล เผยว่า ตนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะวันนี้ได้พาลูกชายไปหาหมอที่ จังหวัดสกลนคร แต่เมื่อกลับมาก็พบว่ามีรถตำรวจจอดอยู่เต็มหน้าบ้านแล้ว
ซึ่งเขาได้ขอความร่วมมือในการเก็บหลักฐานเพิ่มเติมในรถกระบะ และเสื้อผ้าที่เคยใส่ ซึ่งตนก็ยินยอมมอบให้และให้ความร่วมมือทั้งหมด เพราะไม่ได้กังวลอะไร หากเจ้าหน้าที่ทำด้วยความยุติธรรมและก็กลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างเหมือนกัน และถ้าความยุติธรรมไม่มี ตนก็พร้อมจะสู้
นางสาวสมพร กล่าวต่อว่า ถ้าวันหนึ่งตำรวจออกหมายจับสามีจริงๆ ตนและครอบครัวก็ต้องสู้ เพราะเราไม่ได้ทำผิด ซึ่งตนก็ยังมีความมั่นใจเกินร้อยว่าไม่ผิด
สำหรับครั้งล่าสุดที่น้องชมพู่ขึ้นรถนั้นตนก็จำไม่ได้ แต่ก็นานมากแล้ว ซึ่งตอนเมื่อน้องชมพู่ไปไหน ก็จะมีพี่สาวของน้องชมพู่ไปด้วย โดยน้องชมพู่จะนั่งตักตนที่เบาะข้างที่นั่งคนขับ แต่ถ้าแม่ของน้องชมพู่มาด้วย น้องก็จะไปนั่งเบาะหลัง
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าตำรวจอาจจะคิดว่าสามีของตนลักพาตัวเด็กขึ้นรถ ซึ่งตนมองว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะรถคันนี้อยู่ในสายตาตนตลอด ไปไหนมาไหนตนก็จะไปด้วย มีเพียงช่วงเวลาเดียวที่ตนไม่เห็น คือ ช่วงที่นายไชย์พล ไปรับพระที่วัดภูผาแอก ในวันที่ 11 พฤษภาคมเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ใช่เวลานานที่ไป นอกจากนี้ ยอมรับว่าเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ตำรวจมาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม สังคมได้ให้ความสนใจกับคดีของน้องชมพู่เป็นอย่างมาก จนทำให้วันที่ 10 มิถุนายน 63 หลังรายการทุบโต๊ะข่าวเทรนด์ทวิตเตอร์คำว่า “น้องชมพู่” ติดอันดับเป็นอันดับ 3
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ ให้สัมภาษณ์กับทางทีมข่าวอีกครั้ง ว่าวันนี้ก็ยังคงเหมือนทุกๆวัน ยังคงคิดถึงลูกสาวเหมือนเดิม และวันนี้ก็เป็นวันครบรอบ 1 เดือนที่ลูกสาวหายไปพอดี ตนก็ยังมีความหวังทุกวัน เพราะตนไว้ใจการทำงานของจนท.ตำรวจ
ชมคลิปต้นเรื่อง
ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว อมรินทร์ ทีวี